พระสีวลี

ประวัติ / พระสีวลีเถระ

           พระสีวลีผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศด้านมีลาภมาก

           พระสีวลีผู้เป็นเลิศด้วยลาภสักการะ เพราะในอดีตชาติได้ถวายน้ำผึ้งสดแด่พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีและหมู่สงฆ์ ผลบุญที่ได้ถวายทานแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยความเคารพเลื่อมใส ส่งผลให้ท่านเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน...ก็จะมีเทวดาและมนุษย์นำลาภสักการะมาถวายไม่ได้ขาด เมื่อคราวที่หมู่สงฆ์จะต้องผ่านไปยังถิ่นกันดาร พระพุทธเจ้ามักจะให้พาท่านไปด้วยเสมอ เพราะจะช่วยให้หมู่สงฆ์ไม่ขัดสนเรื่องข้าวปลาอาหารและปัจจัยสี่

         ท่านสีวลีเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ทำให้ลาภสักการะมีขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก นั่นก็ได้นี่ก็ได้...ไม่อยากได้ก็ได้...ที่อยากได้ก็ยิ่งได้เยอะแยะมากมายก่ายกองทั้งทองทั้งเพชรนิลจินดามหาศาล ท่านอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เมื่อใกล้ประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า จึงขอให้ พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพรจากพระพุทธเจ้า โดยได้รับพรจากพระพุทธองค์ว่า"ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ

จงเป็นหญิงมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรส "ผู้หาโรคมิได้เถิด"ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไป ทำให้พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจดังน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสนั้นว่า "สีวลึกุมาร"

เมื่อพระวรกายแข็งแรงดี พระนางมีพระประสงค์จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงแจ้งความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานในพระราชนิเวศน์ ตลอด ๗ วัน 

         ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมารมีพระวรกายแข็งแรงดุจกุมาร ผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยจัดแจงกิจต่าง ๆ เช่น นำธมกรกมากรองน้ำดื่มแล้วอังคาสพระพุทธองค์และหมู่พระภิกษุสงฆ์ โดยขณะที่สีวลีกุมารช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระสังเกตดูตลอดเวลา รู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระสนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช

"กุมารน้อย บวชดีนะ...บวชไหม ?"

สีวลีกุมารผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา

        เมื่อได้รับอนุญาต ท่านจึงติดตามพระเถระไปยังพระอาราม พระสารีบุตรเถระผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องดัน คือตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ อันได้แก่ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ  ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ย้ำสำทับให้พิจารณาของทั้ง ๕ อย่างนี้ว่า เป็นของไม่งาม เป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมารได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณา ในขณะที่

กำลังจรดมีดโกนปลงผม

         จรดมีดโกนลงครั้งแรก...ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

         จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี

         จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี

         ครั้นเมื่อโกนผมเสร็จ...ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

         สีวลีกุมารครั้นอุปสมบทแล้ว...ปรากฏชัดว่า ท่านเป็นผู้มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีที่เคยสั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านั้นได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ แม้พระพุทธองค์เองเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามีพระสีวลีร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่มีแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลยทีเดียว

         มีอยู่คราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๐๐รูป ไปเยี่ยมพระเรวตะน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์ได้กราบทูล สภาพหนทางว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ถ้าเสด็จไปทางอ้อม จะมีระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอาศัยอยู่มาก พระภิกษุสงฆ์จะไม่ลำบาก

ด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัด จะมีระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอาศัยอยู่ มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อาศัยอยู่ พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร"

         พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมาพร้อมกับเราด้วยไหมพระอานนท์กราบทูล "พระสีวลีมาด้วย พระพุทธเจ้าข้า"

         พระพุทธองค์ตรัสว่า "อานนท์ ถ้าอย่างนั้น...หากพระสีวลีเดินทางร่วมมากับพวกเราด้วย ก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง...ไม่ต้องกังวล ด้วยอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาที่สิงสถิตอยู่ป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลี เราทั้งหลายจะได้อาศัยบุญของพระสีวลีนั้นด้วย"

          ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระวลีได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ...เป็นปกติ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลายนำมาถวายไม่ขาด ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบกเป็นตัน เขาเหล่านั้นก็จะพยายามสอดส่องดูสิ่งที่ต้องการจำเป็นสำหรับพระเถระเสมอ...พยายามหามาเพิ่มให้ไม่ขาด...สมบูรณ์พร้อมเสมอ นี่แหละนัยแห่งท่านผู้เป็นที่รักยิ่งของเทวดาและมนุษย์

ทั้งหลาย

          ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงประกาศให้ปรากฎในหมู่พุทธบริษัท...ตรัสยกย่องว่าพระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางมีลาภมาก

ท่านเป็นผู้มีลาภมากเพราะบุญ...เพราะบุญเก่าที่ท่านทำมาแล้ว เป็นอย่างดี โดยมีเรื่องเล่าว่า

     กาลครั้งหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า "เพราะเหตุอะไรหนอ ท่านพระวลีเถระจึงอยู่ในท้องของมารดานานถึง ๗ ปี

๗ เดือน ๗ วัน ? เพราะกรรมอะไรจึงต้องหมกไหม้ในนรกเพราะกรรมอะไร จึงได้ลาภหลากหลาย ทั้งมียศมากมาย ?"

              พระพุทธเจ้าได้สดับดังนั้นจึงตรัสเล่าถึงบุรพกรรมของพระเถระว่า ในกัลป์ที่ ๙๑ แต่กัลป์นี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีทรงอุบัติขึ้นในโลก สมัยหนึ่ง พระองค์เสด็จเที่ยวจาริกไปชนบทกลับมานครพระบิดา พระราชาทรงตระเตรียมอาคันกทาน เพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงส่งข่าวแก่ชาวเมืองว่า"ชนทั้งหลายจงมาเป็นสหายในทานของเรา"

              มหาชนทั้งหลายต่างก็ไปร่วมในทานนั้น...พลันฉุกคิดขึ้นว่า"พวกเราจักถวายทานให้ยิ่งกว่าทานที่พระราชาทรงถวายให้จงได้" ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า เพื่อให้ฉันในวันรุ่งขึ้น รุ่งขึ้น...ต่างก็ช่วยกันตกแต่งทานแล้วก็ส่งข่าวไปทูลพระราชาเช่นนั้นเหมือนกัน

              พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรเห็นทานของชนเหล่านั้นแล้ว ดำริว่า "เราจักถวายทานให้ยิ่งกว่าทานนี้ให้จงได้" ทรงนิมนต์พระพุทธเจ้าเพื่อฉันในวันรุ่งขึ้นทันทีแล้วก็จัดทานแข่งขันกับชาวนคร เชิญชาวนครให้มาดูความยิ่งใหญ่ของทานนั้นเช่นเดียวกัน

              พระราชากับชาวเมืองต่างแข่งขันกันให้ทานโดยไม่มีฝ่ายไหนแพ้ไม่มีฝ่ายไหนชนะ เป็นอย่างนั้นถึง ๕ ครั้ง

              ในครั้งที่ ๖ ชาวเมืองคิดว่า "พรุ่งนี้ พวกเราจักถวายทานชนิดที่จะไม่มีใครพูดได้ว่าวัตถุนี้ไม่มีในทานของชนเหล่านี้ ถวายทานที่มีของควรถวายครบทุกอย่างให้ได้" ต่างก็ช่วยกัน จัดแจงของถวาย เสร็จแล้วตรวจดูของที่ยังไม่มี ทุกอย่างมีมาพร้อมสรรพ์ เว้น...เว้นแต่น้ำผึ้งดิบ ชนเหล่านั้นใช้ให้คนถือ ๔ พันแยกส่งไปตามประตูเมืองทั้ง ๔ ด้าน เพื่อหาน้ำผึ้งดิบมาใส่ลงในทานครั้งนั้นให้ได้

              ครั้งนั้น ชายบ้านนอกคนหนึ่งกำลังเข้ามาเยี่ยมนายบ้านระหว่างทาง เขาเห็นรวงผึ้งจึงตัดกิ่งไม้ถือเอารวงผึ้งมาพร้อมกับคอนไม้ ด้วยตั้งใจจะเอาไปฝากนายบ้าน พวกที่ไปซื้อน้ำผึ้งเห็นเขาเข้าก็ถามซื้อเป็นการใหญ่ แต่ชายบ้านนอกไม่ขาย "เถอะน่า...นะ เชิญท่านรับเอากหาปณะจำนวนเท่านี้แล้วจงให้รวงผึ้งแก่ฉันเถอะ"

              คนบ้านนอกคิดว่า "อะไรกันนี่ รวงผึ้งนี้มีราคาไม่ถึงบาทแต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์มากมายถึงหนึ่งกหาปณะ เห็นทีเขาจะเป็นผู้มีกหาปณะมากกระมัง ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ควรได้ราคาดีกว่านี้" ครั้นคิดได้เช่นนั้นจึงตอบไปได้ด้วยเสียงตึงๆว่า "ไม่...ไม่หรอกฉันไม่ขาย" "ถ้ากระนั้น ท่านจงรับเอาทรัพย์ - กหาปณะแล้วกัน ฉันเพิ่มเงินให้"

              "ไม่เอา ยังไงก็ไม่เอา"

              "ถ้าเช่นนั้น ฉันให้ ๆ กหาปณะ"

               แม้กระนั้น ชายบ้านนอกก็ไม่ยอมขาย เขาขึ้นราคาด้วยอาการอย่างนั้นไปจนบุรุษนั้นกล่าวว่า "เอาล่ะ ฉันทุ่มสุดตัว  ถ้ากระนั้น ขอท่านจงรับเอาทรัพย์พันกหาปณะนี้" ว่าพรางก็ยื่น ห่อทรัพย์พันกหาปณะนั้นให้ไปจนหมดสิ้น

               คนบ้านนอกกล่าวว่า "โฮ้...ท่านบ้าหรืองัย หรือในบ้านไม่มี ที่เก็บทรัพย์สมบัติ น้ำผึ้งนี้ราคาไม่ถึงบาท นี่มันเหตุอะไรกัน ?"

              "ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้ารู้เรื่องนั้นดี ปกติน้ำผึ้งนี้มีราคาไม่เกินบาทหรอก แต่ข้าพเจ้าต้องการน้ำผึ้งจริงๆ"

              "จำเป็นอะไร ?"

              "จำเป็นต้องเอาน้ำผึ้งนี้ไปเป็นองค์ประกอบของมหาทาน คือพวกข้าพเจ้าตระเตรียมมหาทาน เพื่อจะถวายพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีสมณะ ๖ ล้าน ๘ แสนเป็นบริวาร ในมหาทานนั้นมีของที่ควรถวายพร้อมหมดแล้วทุกอย่าง ยังไม่มีก็เฉพาะน้ำผึ้งดิบอย่างเดียวนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องซื้อรวงผึ้งนี้ ด้วยจำนวนเงินมหาศาลนี้ นี่แหละความจำเป็นของข้าพเจ้า จำเป็นเพราะบุญ"

               คนบ้านนอกได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวว่า "เมื่อเป็นอย่างนั้น ข้าพเจ้าไม่ขายหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าข้าพเจ้าได้ส่วนบุญจากมหาทานนั้นบ้าง ข้าพเจ้าก็จักให้ ให้เปล่า ๆด้วย" บุรุษนั้นไปบอกเนื้อความนั้นแก่ชาวเมืองทั้งหลาย ชาวเมืองทราบศรัทธาของเขาต่างก็รับด้วยความยินดีว่า "สาธุ ขอเขาจงเป็นผู้ได้ส่วนบุญ"

              พวกชาวเมืองนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขให้นั่งแล้ว ถวายข้าวต้มและของเคี้ยว ให้คนนำถาดทองคำให้บีบรวงผึ้ง เทนมสัมลงในถาดเคล้ากับน้ำผึ้ง ถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขจำเดิมแต่ต้น น้ำผึ้งนั้นทั่วถึงแก่ภิกขุทุกรูปผู้รับเอาจนพอกับความต้องการ ซ้ำยังเหลืออีกมาก ไม่ควรคิดว่า น้ำผึ้งน้อยอย่างนั้นพอแก่ภิกษุมากรูปได้อย่างไร ? จริงอยู่ น้ำผึ้งพอแก่ภิกษุทุกรูปด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า เรื่องเป็นพุทธวิสัย พุทธวิสัย...ใครๆ ไม่ควรคิด ใครผู้ใดขืนไปคิดทำนองนี้เข้า...เขาอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้ 

              บุรุษนั้นทำกรรมประมาณเท่านั้น ครั้นตายแล้วได้ไปเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ในที่นั้นสิ้นกาลนาน จุติจากเทวโลกแล้ว บังเกิดในราชตระกูลในกรุงพาราณสี เมื่อพระชนกสวรรคดไป ก็ได้ครองราชสมบัติ...แต่เป็นพระราชาผู้มักใหญ่ใฝ่สูง

              ท้าวเธอดำริว่า "เราจักยึดเอาพระนครแห่งนี้ให้ได้" จึงเสด็จไปล้อมไว้ ส่งสาส์นไปแจ้งชาวเมืองว่า "พวกท่านจะให้ราชสมบัติหรือการยุทธ์" ชาวเมืองเหล่านั้นต่างพร้อมใจกันตอบว่า "จักไม่ให้ราชสมบัติ จักไม่ให้การยุทธ์" ต่างออกไปนำฟืนและน้ำเป็นดัน มาทางประตูเล็กๆ เตรียมกิจทุกอย่างไว้พร้อมมูล 

              พระราชาผู้จะไปชิงเมืองนั้นจำต้องล้อมรักษาประตูใหญ่ ๔ ประตู ปิดล้อมพระนครไว้ทุกด้านตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันเต็ม ๆ โดยไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ถึงกระนั้น..ก็ยังทำอะไรไม่ได้

              ต่อมา พระชนนีตรัสถามว่า "บุตรของเราทำอะไร ?" ทรงสดับเรื่องนั้นแล้วจึงตรัสว่า "บุตรของเราโง่นัก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดีแต่อยากได้ แต่ไม่มีกลยุทธ์" พวกเธอจงไปทูลบุตรของเราให้ปิดประตูเล็กๆ ล้อมปิดพระนครเสียทุกด้าน               ท้าวเธอทรงสดับคำสอนของพระชนนีแล้ว ทรงทำอย่างนั้น ฝ่ายชาวเมืองเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ ในวันที่ ๗ จึงปลงพระชนม์พระราชาของตนเสีย ได้ถวายราชสมบัติแด่พระราชานั้น

              ท้าวเธอทรงทำกรรมนี้แล้ว ในกาลเป็นที่สิ้นสุดแห่งอายุ จึงบังเกิดในอเวจี หมกไหม้ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ ประมาณโยชน์หนึ่ง จุติจากอัตภาพนั้นมาถือปฏิสนธิในท้องมารดา อยู่ในท้องนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน นอนขวางอยู่ที่ปากกำเนิดอีก ๗ วัน เพราะตนปิดประตูเล็กๆ ทั้ง ๔ ห้ามคนออกมาภายนอก

พระพุทธเจ้าตรัสสำทับว่า ภิกษุทั้งหลาย สีวลีหมกไหม้ ในนรกสิ้นกาลประมาณเท่านั้น เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนครแล้ว ยึดเอาในกาลนั้น ถือปฏิสนธิในท้องของมารดาแล้วอยู่ในท้องนั้น เป็นเวลายาวนาน เพราะเธอปิดประตูเล็กๆ ทั้ง ๔ เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภเลิศมียศเลิศ เพราะเธอถวายน้ำผึ้งใหม่

              ท่านพระสืวลี เป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการพระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระพุทธองค์ เป็นอย่างดี ท่านดำรงอายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน

              เอตทัคคะ

     เพราะเหตุนั้น พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างผู้มีลาภมาก